ธรรมชาติกับมนุษย์
ภัยธรรมชาติเล่นงานคนไทยเราหนนี้สาหัสนัก หนักหนาสาหัสมากกว่าที่ใครๆ เคยได้รับรู้มาชั่วชีวิต ผู้คนจำนวนมากที่จู่ๆ พลันสิ้นเนื้อประดาตัว หลายคนไม่เพียงสูญเสียทรัพย์สินสิ่งของที่มี ยังสูญเสียสิ่งมีค่ายิ่งกว่าอื่นใด คือ ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนรัก เพื่อน ไปกับความกราดเกรี้ยวของธรรมชาติ ที่ไม่บอกให้รู้เนื้อรู้ตัว
ผู้รู้หลายคนบอกว่า นอกจากความสูญเสีย เศร้าโศก อาดูร ที่ไม่สามารถทดแทนกันได้แล้ว ดูเหมือนภัยธรรมชาติครั้งนี้ จะสอนบทเรียนล้ำค่า ให้กับมนุษย์เราอีกครั้ง
สอนสิ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่ สอนสืบต่อกันมาเนิ่นนานนักหนาแล้วว่า ถึงอย่างไร มนุษย์เราก็ไม่อาจเอาชนะธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้
ไม่ว่าเราจะแกร่งกล้าสามารถ มีวิทยาการล้ำหน้า มีเทคโนโลยีสูงส่งเพียงใดก็ตาม หากยังดำเนินวิถีแห่งชีวิต สวนทางกับธรรมชาติ ขัดแย้งและหักล้างกันอยู่ร่ำไป ก็ยากที่จะอยู่ร่วม
ภายใต้วิถีทางเช่นนั้น หากมนุษย์ไม่ทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะทำลายมนุษย์ ด้วยวิสัยแห่งความขัดแย้งโดยแท้
มนุษย์มากหน้าหลายตา หลากหลายเผ่าพันธุ์ พยายามเสาะแสวงหาความรู้ ความสำเร็จ ในการเอาชนะธรรมชาติให้จงได้ สืบเนื่องมายาวนานชั่วอายุขัยของคนเรา องค์ความรู้เหล่านั้น ถูกสืบทอด พัฒนากันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่เมื่อถึงวาระสุดท้าย เราก็ได้บทเรียนสรุปชัดเจนอีกครั้ง เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาว่า "คนเรายังไม่อาจเอาชนะธรรมชาติได้อย่างแท้จริงและหมดจด"
บ่อยครั้งที่มนุษย์ประกาศอหังการว่า เอาชนะธรรมชาติได้ แต่ชัยชนะดังกล่าว ก็กลายเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ดูเหมือนธรรมชาติจะมีกลเม็ดเด็ดพราย มีความยิ่งใหญ่อยู่ในตัว จนเกินกว่าที่เราจะเอาชนะมันได้อย่างแท้จริง ทุกครั้งไป
น่าแปลกที่วิทยาการมนุษย์ ก้าวล้ำไปจนถึงขนาดเตรียมการออกไปสำรวจดาวเคราะห์อื่น ในห้วงอวกาศไกลโพ้นกันแล้ว แต่วิทยาการเท่าที่มนุษย์มีอยู่ ก็ยังไม่อาจปกป้องชีวิตมนุษย์ เป็นเรือนแสนด้วยกันได้
เราส่งยานสำรวจไปลงดาวอังคารได้ แต่จนแล้วจนรอด เรายังไม่อาจคิดค้นหาวิธีคาดคะเน การเกิดแผ่นดินไหวล่วงหน้าอย่างแม่นยำได้ ตรงกันข้าม ธรรมชาติใช้สิ่งที่เราคุ้นเคย พบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ให้กลายเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างที่สยดสยองและน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ได้ในชั่วพริบตา
หรือเป็นเพราะความก้าวหน้าประดามี ทำให้มนุษย์ดำรงตนอยู่ในความประมาท ปฏิเสธการมีอยู่ของธรรมชาติ ใช้ชีวิตโดยปราศจากการเรียนรู้ และทำความเข้าใจธรรมชาติของโลก อย่างถ่องแท้?
ดำรงชีวิตอย่างมืดบอด ไม่ยอมทำความเข้าใจ ไม่รู้จัก ไม่รักธรรมชาติ หลงไหล ได้ปลื้ม อยู่กับเครื่องยนต์กลไกและวัตถุประดามี ที่อยู่รอบตัว แล้วลืมเลือนที่จะทำความรู้จักมักคุ้น และตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริงของธรรมชาติไป
ลืมเลือนไปว่าสรรพสิ่ง ย่อมมีสองด้านเสมอ มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์อยู่ในตัว บางครั้งโอบอ้อมอารี อบอุ่นและสวยสดงดงาม แต่ยามพิโรธ ก็ร้ายกาจยิ่งกว่าทุกสิ่งบรรดามี ที่มนุษย์เคยคิดค้นขึ้นมาฆ่าฟันกัน
ยามธรรมชาติเกรี้ยวกราด มนุษย์อาจตกเป็นเหยื่อบัดพลีได้เสมอ
ปราชญ์บางคนสอนว่า อย่ายังชีวิตอยู่อย่างขัดแย้ง แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างสอดคล้อง เรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติ
อยู่ทะเลต้องรู้จักและเข้าใจทะเล อยู่ป่าเขา ย่อมต้องเรียนรู้ทั้งคุณและโทษของลำเนาไพร
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
ผู้รู้หลายคนบอกว่า นอกจากความสูญเสีย เศร้าโศก อาดูร ที่ไม่สามารถทดแทนกันได้แล้ว ดูเหมือนภัยธรรมชาติครั้งนี้ จะสอนบทเรียนล้ำค่า ให้กับมนุษย์เราอีกครั้ง
สอนสิ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่ สอนสืบต่อกันมาเนิ่นนานนักหนาแล้วว่า ถึงอย่างไร มนุษย์เราก็ไม่อาจเอาชนะธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้
ไม่ว่าเราจะแกร่งกล้าสามารถ มีวิทยาการล้ำหน้า มีเทคโนโลยีสูงส่งเพียงใดก็ตาม หากยังดำเนินวิถีแห่งชีวิต สวนทางกับธรรมชาติ ขัดแย้งและหักล้างกันอยู่ร่ำไป ก็ยากที่จะอยู่ร่วม
ภายใต้วิถีทางเช่นนั้น หากมนุษย์ไม่ทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะทำลายมนุษย์ ด้วยวิสัยแห่งความขัดแย้งโดยแท้
มนุษย์มากหน้าหลายตา หลากหลายเผ่าพันธุ์ พยายามเสาะแสวงหาความรู้ ความสำเร็จ ในการเอาชนะธรรมชาติให้จงได้ สืบเนื่องมายาวนานชั่วอายุขัยของคนเรา องค์ความรู้เหล่านั้น ถูกสืบทอด พัฒนากันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่เมื่อถึงวาระสุดท้าย เราก็ได้บทเรียนสรุปชัดเจนอีกครั้ง เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาว่า "คนเรายังไม่อาจเอาชนะธรรมชาติได้อย่างแท้จริงและหมดจด"
บ่อยครั้งที่มนุษย์ประกาศอหังการว่า เอาชนะธรรมชาติได้ แต่ชัยชนะดังกล่าว ก็กลายเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ดูเหมือนธรรมชาติจะมีกลเม็ดเด็ดพราย มีความยิ่งใหญ่อยู่ในตัว จนเกินกว่าที่เราจะเอาชนะมันได้อย่างแท้จริง ทุกครั้งไป
น่าแปลกที่วิทยาการมนุษย์ ก้าวล้ำไปจนถึงขนาดเตรียมการออกไปสำรวจดาวเคราะห์อื่น ในห้วงอวกาศไกลโพ้นกันแล้ว แต่วิทยาการเท่าที่มนุษย์มีอยู่ ก็ยังไม่อาจปกป้องชีวิตมนุษย์ เป็นเรือนแสนด้วยกันได้
เราส่งยานสำรวจไปลงดาวอังคารได้ แต่จนแล้วจนรอด เรายังไม่อาจคิดค้นหาวิธีคาดคะเน การเกิดแผ่นดินไหวล่วงหน้าอย่างแม่นยำได้ ตรงกันข้าม ธรรมชาติใช้สิ่งที่เราคุ้นเคย พบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ให้กลายเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างที่สยดสยองและน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ได้ในชั่วพริบตา
หรือเป็นเพราะความก้าวหน้าประดามี ทำให้มนุษย์ดำรงตนอยู่ในความประมาท ปฏิเสธการมีอยู่ของธรรมชาติ ใช้ชีวิตโดยปราศจากการเรียนรู้ และทำความเข้าใจธรรมชาติของโลก อย่างถ่องแท้?
ดำรงชีวิตอย่างมืดบอด ไม่ยอมทำความเข้าใจ ไม่รู้จัก ไม่รักธรรมชาติ หลงไหล ได้ปลื้ม อยู่กับเครื่องยนต์กลไกและวัตถุประดามี ที่อยู่รอบตัว แล้วลืมเลือนที่จะทำความรู้จักมักคุ้น และตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริงของธรรมชาติไป
ลืมเลือนไปว่าสรรพสิ่ง ย่อมมีสองด้านเสมอ มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์อยู่ในตัว บางครั้งโอบอ้อมอารี อบอุ่นและสวยสดงดงาม แต่ยามพิโรธ ก็ร้ายกาจยิ่งกว่าทุกสิ่งบรรดามี ที่มนุษย์เคยคิดค้นขึ้นมาฆ่าฟันกัน
ยามธรรมชาติเกรี้ยวกราด มนุษย์อาจตกเป็นเหยื่อบัดพลีได้เสมอ
ปราชญ์บางคนสอนว่า อย่ายังชีวิตอยู่อย่างขัดแย้ง แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างสอดคล้อง เรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติ
อยู่ทะเลต้องรู้จักและเข้าใจทะเล อยู่ป่าเขา ย่อมต้องเรียนรู้ทั้งคุณและโทษของลำเนาไพร
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น